Page 38 - วารสารจิตอาสา ฉบับที่ ๔ เดือน มกราคม ๒๕๖๖
P. 38

การเป็น “อาสาสมัคร” ไม่ว่าจะเป็นงานใด ๆ ก็แล้วแต่ที่ท�าให้เกิดประโยชน์ในทางบวก ล้วนแต่เป็นสิ่งที่

           เราควรท�าทั้งสิ้น คนที่จะเป็นอาสาสมัครได้นั้นไม่ได้จ�ากัดที่ วัย การศึกษา เพศ อาชีพ ฐานะ หรือข้อจ�ากัดใดๆ
           ทั้งสิ้น หากแต่ต้องมีจิตใจเป็น “จิตอาสา” ที่อยากจะช่วยเหลือผู้อื่น หรือสังคมเท่านั้น

                 กิจกรรมอาสาสมัคร เป็นกระบวนการของการฝึก “การให้” ที่ดีเพื่อขัดเกลาละวางตัวตน และบ่มเพาะ
           ความรัก ความเมตตาผู้อื่นโดยไม่มีเงื่อนไข ทั้งนี้ กระบวนการของกิจกรรม ซึ่งเป็นการยอมสละตน เพื่อรับใช้

           และช่วยเหลือแก้ไขวิกฤติปัญหาของสังคม อาสาสมัครจะได้เรียนรู้ ละเอียดอ่อนต่อสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวมากขึ้น
           สัมผัสความจริง เชื่อมโยงเหตุและปัจจัยความสุขและความทุกข์ เจริญสติในการปฏิบัติงานที่ศาสนาพุทธ

           เรียกว่า พรหมวิหาร ๔ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา เพื่อให้เกิด “การให้” ที่ดี กิจกรรมอาสาสมัคร
           จึงเป็นกระบวนการที่ช่วยให้บุคคลได้ขัดเกลาตนเอง เรียนรู้ภายใน และเกิดปัญญาได้

                 ที่ผ่านมาคนไทยอาจเคยชินกับการท�าความดีด้วยการใช้เงินลงทุนในการท�าบุญ ไม่ค่อยอยากออกแรง
           ช่วยเหลือ เพราะถือว่าการท�าบุญกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือผู้มีบุญบารมีจะท�าให้คน ๆ นั้นได้บุญมากขึ้น คนไทย
           จึงมักท�าบุญกับพระ บริจาคเงินสร้างโบสถ์ แต่ละเลยการ “ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์” ไม่ง่ายนักที่จะท�าดีให้ได้ดี

           กับผู้รับจริง ๆ
                 “ประชาสังคม” หมายถึง สภาพสังคมที่มีองค์ประกอบอันหลากหลาย มีฐานมาจากประชาชนทั่วไป

           ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม องค์กร ชมรม สมาคม มูลนิธิ มาสร้างเป็นเครือข่าย เพื่อท�ากิจกรรมต่าง ๆ ผลักดัน
           ให้สังคมเกิดความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น

                 ความส�านึกในเรื่อง “ประชาสังคม” มีมานานแล้วในสังคมตะวันตก คือ ความรู้สึกว่าเราไม่สามารถจะมี
           ความสุขได้ถ้าเราปล่อยปละละเลยสังคม ความรู้สึกว่าเราต้องรับผิดชอบต่อสังคม ตรงนี้เป็นคุณธรรมของ

           ประชาสังคม และเป็นวัฒนธรรมของสังคมอเมริกัน คนจ�านวนมากไม่ศรัทธาในศาสนา แต่ถือเป็นหน้าที่ที่ต้อง
           เสียสละเพื่อส่วนรวม อย่างน้อยต้องอุทิศเงินเพื่อกิจการสาธารณะ เขามีส�านึกเรื่อง “จิตสาธารณะ” และฝรั่ง
           เขาถือว่าถ้ารวย ต้องช่วยสาธารณะ หรือถ้าว่างเสาร์อาทิตย์ก็ไปเป็นอาสาสมัครในโรงพยาบาล พิพิธภัณฑ์

           เรื่องสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ในญี่ปุุ่น มีคนประเภทนี้เยอะ เราไปเที่ยวก็ขอไกด์ฟรีได้ คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นแม่บ้าน
           มาเป็นอาสาสมัคร ทั้งวันบางทีเขายังจ่ายค่าอาหารให้ด้วยเขามีความสุขเพราะรู้สึกว่าเป็นเมืองของเขา เขาอยาก
           ช่วยเหลือสังคม ซึ่งตรงข้ามกับเมืองไทยที่รู้สึกว่าสังคมไม่ใช่ของเรา ความรู้สึกว่าป่าต้นน�้า ภูเขา หรือโทรศัพท์

           สาธารณะเป็นของเรามีน้อยมาก คนไทยจะเน้นเรื่องรัฐมากกว่าสังคมท�าให้รู้สึกว่าทรัพย์สินส่วนรวมเป็นของรัฐ
           ไม่ใช่ของส่วนรวม เขาถึงบอกว่ารัฐบาล“คอร์รัปชัน” ก็ไม่เป็นไร ขอให้เอาเงินมาลงในหมู่บ้านก็แล้วกัน

           เหมือนดั่งนโยบายประชานิยมของรัฐบาลก่อน ๆ ที่สร้างนิสัยการใช้เงินในสิ่งที่ไม่จ�าเป็นให้กับประชาชนจากเงิน
           ที่หว่านลงไปทุกหมู่บ้าน เพราะเขาคิดว่างบประมาณแผ่นดินไม่ใช่ของเราเป็นของรัฐบาล จึงเห็นได้ว่า ความคิด
           เรื่องประชาสังคมในเมืองไทยยังไม่มี

                 การท�ากิจกรรมกับชมรมฯ ไม่ว่าด้วยแรงจูงใจใด ๆ ในช่วงเริ่มต้น หากต่อมาขาดซึ่งความรักในสิ่งที่

           ท�าด้วย “จิตอาสา” ในเวลาต่อมาแล้วไซร้ ผลงานที่ออกมาก็เป็นเพียงสิ่งที่เราท�าสนุก ๆ เพื่อฆ่าเวลาที่ไม่รู้
           ว่าจะท�าอะไรเท่านั้น ไม่มีคุณค่าอันใด เพื่อสร้างจิตวิญญาณและพัฒนาจิตส�านึก เพื่อสังคมในตัวเรา สิ่งที่เรา
           ได้จากการท�ากิจกรรมนั้นมีมากมายเหลือคณานับ อยู่ที่คน ๆ นั้นที่จะไขว่คว้าเอง เพื่อให้ได้มาตามที่ใจ

           ปรารถนาเท่านั้น




                                          บทความ “จิตอาสา : ที่มาและความหมาย”
                                     โดย โครงการฉลาดท�าบุญด้วยจิตอาสา เครือข่ายพุทธิกา



                                      วารสาร  จิต  อาสา 34    ฉบับที่ 4 เดือน มกราคม ๒๕๖๖
   33   34   35   36   37   38   39   40   41   42   43