Page 369 - เอกสารคำสอนทวารวดี - ศรีวิชัย
P. 369
เฉกเช่นพระราชบิดา โดยใน พ.ศ. 1561 หรือ 1562 ศรีวิชัยยังได้ถวายทองค าจีน (China gold /
8
Cina-kanakam) จ านวนมากส าหรับเทวาลัยและพราหมณ์ที่เมืองนาคปัฏฏินัมด้วย
จนกระทั่งใน พ.ศ. 1566 เมื่อราชวงศ์ซ่งของจีนได้สนับสนุนให้พ่อค้าชาวอาหรับเปลี่ยน
เส้นทางการค้าจากเส้นทางสายไหมทางบกที่ผ่านทะเลทรายอันแห้งแล้งและอันตรายในเอเชีย
9
กลางมาใช้เส้นทางสายไหมทางทะเลที่สะดวกรวดเร็วกว่า คงส่งผลให้สมาคมพ่อค้าของอินเดีย
10
ใต้ที่ได้รับการอุปถัมภ์จากราชวงศ์โจฬะได้รับประโยชน์จากนโยบายนี้ด้วย เห็นได้จากบทบาท
ของสมาคมพ่อค้าอินเดียใต้ในนาม “มณิกกิรมัม” ซึ่งเข้ามาตั้งถิ่นฐานในคาบสมุทรภาคใต้ของ
ไทยบริเวณจังหวัดพังงา ตั้งแต่ราวพุทธศตวรรษที่ 14 – 15 (ดูในบทที่ 8)
นอกจากนี้ยังได้พบจารึกภาษาทมิฬเป็นของสมาคมพ่อค้าไอนูรรวรรที่เมืองบารุส
(Barus) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะสุมาตรา ซึ่งเป็นแหล่งผลิตการบูรที่มีคุณภาพแห่งหนึ่ง
ของโลกในสมัยโบราณ ข้อความในจารึกหลักนี้ซึ่งมีศักราชตรงกับ พ.ศ. 1631 ยังกล่าวถึง
11
ชนพื้นเมืองที่เรียกว่า Zabedj ซึ่งมีลักษณะคล้าย “มนุษย์กินคน” ส่วนค าว่า Zabedj นั้นก็อาจ
เป็นค าเดียวกันกับซาบัค (Zabag, Zabaj) ที่ชาวอาหรับใช้เรียกศรีวิชัย แม้ว่าจารึกหลักนี้จะมี
12
อายุหลังจากพุทธศตวรรษที่ 16 ไปแล้ว แต่ก็น่าจะท าให้พอมองเห็นภาพของการติดต่อสัมพันธ์
กันทางใดทางหนึ่งระหว่างสมาคมพ่อค้าชาวอินเดียใต้กับชนพื้นเมืองได้ เพราะเอกสารของ
อาหรับอย่างน้อยตั้งแต่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 14 - 15 เช่น Akhbar al;Sin wa’l-Hind (ราว พ.ศ.
1393) หรือ Ibn Khudadhbin และ Aja’ib al’Hind ก็กล่าวถึง “มนุษย์กินคน” ทางตอนเหนือของ
13
เกาะสุมาตรา ซึ่งนอกจากมีการบูรชั้นดีแล้วยังเป็นแหล่งแร่ทองค าอีกด้วย
หากย้อนกลับไปพิจารณาจารึกภาษาทมิฬพบที่จังหวัดพังงาที่มีข้อความว่า “สระชื่อ
ศรีอวนินารณัม ซึ่ง…รวรรมันคุณ…ได้ขุดเองใกล้ (เมือง) นงคูร อยู่ในการรักษาของสมาชิกแห่
งมณิครามแลของกองทัพระวังหน้ากับชาวไร่ชาวนา...” ก็จะสังเกตได้ว่าสมาคมพ่อค้านี้มี
กองทัพระวังหน้า (หรือทหารรับจ้าง) คอยคุ้มครองอยู่ด้วย อันเป็นเหตุผลด้านความมั่นคง
14
ปลอดภัย เพราะการเข้าไปตั้งสมาคมพ่อค้าที่เมืองบารุสก็เท่ากับแย่งชิงพื้นที่ทางธุรกิจหรือ
15
ควบคุมแหล่งผลิตการบูรชั้นดี ซึ่งศรีวิชัยเคยครอบครองมาก่อนนั่นเอง
ทั้งนี้เมื่อพิจารณาจากรายการสิ่งของบรรณาการที่ราชวงศ์โจฬะส่งทูตไปยังประเทศจีน
จ านวน 4 ครั้งในช่วง พ.ศ. 1558 – 1620 ก็พบว่ามีงาช้าง นอแรด ไข่มุก ผ้าทอหรือไหมทอง
(brocade) แก้วทึบแสง (opaque glass) ยางไม้หอม (frankincense) น ้าหอมจากดอกกุหลาบ
(rose water) เอื้องหมายนา (putchuk) การบูรจากเมืองบารุส (Barus camphor) และดอกบ๊วย
(plum flowers) ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่ (ยกเว้นงาช้างและไข่มุก) ไม่ได้เป็นสินค้าพื้นเมืองของอินเดีย
ยางไม้หอมและน ้าหอมจากดอกกุหลาบคงมาจากตะวันออกกลาง และราชวงศ์ซ่งเองก็มีความ
16
ต้องการเครื่องหอมและเครื่องเทศอย่างมาก โดยเฉพาะยางไม้หอม (frankincense) จาก
ตะวันออกกลางนั้นเป็นที่ต้องการในตลาดจีนมากที่สุด ดังนั้นราชวงศ์โจฬะและสมาคมพ่อค้า
17
363