Page 128 - ทบทวนตัวชี้วัดเพื่อกำกับติดตามคุณภาพบริการด้านโรคไม่ติดต่อ พ.ศ. 2563 - 2566
P. 128
2. Q & A ประเด็นโรคความดันโลหิตสูง (ต่อ)
2. Q & A ประเด็นโรคความดันโลหิตสูง
Q3: กรณีวัดความดันโลหิต A3: การวัดความดันโลหิตด้วยเครื่องชนิดพกพาที่บ้าน (Self หรือ Home
ที่สถานีสุขภาพในชุมชน Blood Pressure Monitoring, HBPM) ไม่ใช่ การวัดความดันโลหิตโดย
สามารถใช้เกณฑ์วินิจฉัย อาสาสมัครสาธารณสุขประจ�าหมู่บ้าน (อสม.) โดยวิธีการวัดความดันโลหิต
เดียวกันกับเกณฑ์วินิจฉัย โดยวิธี HBPM คือ
HBPM ได้หรือไม่ 1. วัดความดันโลหิตในท่านั่ง เท้าทั้งสองวางราบกับพื้นและวัดความดัน
โลหิตหลังจากนั่งพักอย่างน้อย 2 นาที
2. วัดความดันโลหิตวันละ 2 ช่วงเวลา คือ ช่วงเช้าและช่วงเย็น
โดยแต่ละช่วงเวลา ให้วัดความดันโลหิตอย่างน้อย 2 ครั้งแต่ละครั้งห่างกัน
1 นาที ควรวัดติดต่อกัน 7 วันหรืออย่างน้อย 3 วัน
3. ช่วงเช้าควรวัดความดันโลหิตภายใน 1 ชั่วโมงหลังจากตื่นนอน
และหลังจากปัสสาวะเรียบร้อยแล้ว ควรวัดความดันโลหิตก่อนรับประทาน
อาหารเช้า และยังไม่ได้รับประทานยาลดความดันโลหิต (ถ้ามี)
4. รอบค�่า ควรวัดก่อนเข้านอน ระดับความดันโลหิตที่สูงผิดปกติ
≥ 135/85 mmHg
กรณีผู้มารับบริการ ได้รับการคัดกรองโรคความดันโลหิตสูงที่สถานี
สุขภาพชุมชน แล้วพบว่ามีค่าความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยจะต้องได้รับการ
ตรวจติดตามยืนยันวินิจฉัยโรคความดันโลหิตสูงที่สถานพยาบาลอีกครั้ง
โดยแพทย์ โดยแบ่งค่าความดันโลหิต ดังนี้
1. กรณีผู้ป่วยมีค่า SBP ≥ 180 mmHg และ/หรือ DBP ≥ 110 mmHg
ให้แพทย์พิจารณายืนยันวินิจฉัยโรคความดันโลหิตสูง พร้อมขึ้นทะเบียนรักษา
(ลงรหัส ICD-10 สามหลักขึ้นต้นด้วย I10 - I15) ในวันนั้น หรือลงรหัส R03.0
และยืนยันวินิจฉัยในวันถัดไป แต่ไม่เกิน 7 วัน
2. กรณีผู้ป่วยมีค่า SBP ตั้งแต่ 140 - 179 mmHg และ/หรือ DBP
ตั้งแต่ 90 - 109 mmHg แพทย์พิจารณาลงรหัส R03.0 และด�าเนินการ
ติดตามผู้ป่วยได้ 2 วิธี คือ
1) ท�า HBPM ติดต่อกันอย่างน้อย 7 วัน หรือ
2) นัดวัดความดันโลหิตซ�้าในสถานบริการสาธารณสุขเดิม (OBPM)
หลังจากติดตามแล้ว หากพบว่า ผู้ป่วยยังคงมีค่าความดันโลหิตสูงอยู่
แพทย์จะเป็นผู้พิจารณายืนยันวินิจฉัยโรคความดันโลหิตสูง พร้อมขึ้น
ทะเบียน และรักษาต่อไป
NCD 116 ทบทวนตัวชี้วัดเพื่อกำ�กับติดตามคุณภาพบริการด้านโรคไม่ติดต่อ
พ.ศ.�2563-2566