Page 202 - เอกสารคำสอนทวารวดี - ศรีวิชัย
P. 202

ดังนั้นเราอาจสรุปได้ว่า การนับถือศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูในสมัยทวารวดีนั้น
                       มีทั้งที่เป็นพิธีกรรมของราชส านักทวารวดีตามเมืองโบราณต่างๆ และยังมีส่วนที่เป็น

                       วัฒนธรรมแบบเขมรโบราณที่แพร่หลายเข้ามาในช่วงร่วมสมัยด้วย


                              5.1.7)  ใบเสมาหิน

                              ใบเสมาหินปรากฏทั่วไปตามชุมชนหรือเมืองโบราณร่วมสมัยทวารวดีในเขตภาคอีสาน
                       (แต่ก็ได้พบบ้างในภาคกลาง เช่นที่เมืองดงแม่นางเมือง บ้านโคกไม้เดน หรือเมืองดงละคร ดังได้

                       กล่าวแล้วในบทที่ 4) โดยพบมากที่สุดที่เมืองฟ้าแดดสงยาง อ าเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์
                       และบ้านกุดโง้ง อ าเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ แต่ก็ได้พบที่อื่นๆ ด้วย เช่น เมืองเสมา อ าเภอสูงเนิน

                       จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดสกลนคร จังหวัดอุดรธานี จังหวัดร้อยเอ็ด จังหวัดอุบลราชธานี
                       เป็นต้น

                              เสมาที่พบมีขนาดแตกต่างกันไป โดยมี 3 รูปทรงหลักๆ คือ
                              1.  เป็นหลักหินคือแผ่นหินธรรมชาติที่ไม่ได้รับการสลักรูปร่างแน่นอน

                              2.  เป็นแท่งหรือแผ่นหินทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าหรือแท่งสี่เหลี่ยมยอดแหลม
                              3.  เป็นแผ่นหินแบนๆ ส่วนยอดโค้งแบบใบเสมายุคหลัง

                              ใบเสมาเหล่านี้มี 4 รูปแบบส าคัญ คือ
                              1.  ไม่มีลวดลายสลักใดๆ (เช่นที่เมืองเสมา หรือที่อ าเภอเกษตรสมบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ)

                                 (ภาพที่ 170 - 171)
                              2.  มีลวดลายสลักอย่างง่ายๆ เช่น ลายกลีบบัวที่ส่วนฐาน รูปธรรมจักร รูปสถูปหรือ

                                 หม้อน ้าเป็นแกนกลาง (ภาพที่ 172 - 173)
                              3.  สลักภาพเล่าเรื่องทางพุทธศาสนา ทั้งพุทธประวัติและชาดก (เช่นที่เมืองฟ้าแดด

                                 สงยางและบ้านกุดโง้ง) (ภาพที่ 174 - 175)
                              4.  สลักภาพบุคคลเต็มแผ่น (พบที่ภูพระอังคาร จังหวัดบุรีรัมย์) (ภาพที่ 176)

                              ลักษณะการปักเสมาที่พบในภาคอีสานมี 3 แบบ คือ
                              1.  ปักเป็นกลุ่มกระจายอยู่ทั่วเนินดินหรือบริเวณใดบริเวณหนึ่ง โดยไม่ก าหนดจ านวน

                                 ทิศทาง หรือต าแหน่งในการปักที่แน่นอน
                              2.  ปักประจ าทิศรอบเนินดินหรือสิ่งก่อสร้างทางศาสนาเพื่อแสดงเขตอันศักดิ์สิทธิ์

                              3.  ปักอยู่โดดๆ เพื่อแสดงต าแหน่งของบริเวณอันศักดิ์สิทธิ์
                              ศรีศักร วัลลิโภดม มีความเห็นว่า การสร้างเสมาหินนี้อาจเป็นคติที่สืบทอดมาจาก

                       ประเพณีการปักหินตั้ง (megaliths) ซึ่งเป็นระบบความเชื่อในเรื่องการนับถือผีบรรพบุรุษของ
                       คนในภูมิภาคนี้ เห็นได้จากการปักเสมาที่ไม่ก าหนดจ านวน ทิศทาง และต าแหน่งแน่นอน

                       จนกระทั่งพุทธศาสนาได้แพร่เข้ามาจึงมีการน าเอาความเชื่อดั้งเดิมมาปะปนกับคติพุทธศาสนา






                                                               196
   197   198   199   200   201   202   203   204   205   206   207