Page 176 - ทวารวดี ประตูสู่การค้าบนเส้นทางสายไหมทางทะเล
P. 176
ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 14 นโยบายของราชส านักศรีวิชัยที่
ปกครองโดยราชวงศ์ไศเลนทร์จึงขยายพื้นที่ทางการเมือง เศรษฐกิจ และ
วัฒนธรรมทางพุทธศาสนาไปยังช่องแคบซุนดา (เพื่อต่อไปยังเกาะชวา และ
มีหลักฐานเลยไปไกลถึงประเทศฟิลิปปินส์) ช่องแคบมะละกา รวมถึงภาคใต้
ของประเทศไทยในปัจจุบัน เห็นได้จากบทบาทของราชวงศ์ไศเลนทร์บน
139
เกาะชวาที่มีเรื่องราวปรากฏอยู่ในจารึกหลายหลัก หรือการค้นพบจารึก
ภาษามลายูโบราณมีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 15 ที่ลากูน่า (Laguna)
140
จังหวัดบูลากัน (Bulakan) ทางตอนเหนือของประเทศฟิลิปปินส์ หรือการ
ค้นพบประติมากรรมทางพุทธศาสนาแบบศิลปะศรีวิชัยหลายองค์ในประเทศ
141
มาเลเซีย และการปรากฏจารึกหลักที่ 23 (จารึกวัดเสมาเมือง จังหวัด
นครศรีธรรมราช) ซึ่งระบุว่า เมื่อ พ.ศ. 1318 มหาราชแห่งศรีวิชัยโปรดให้
สร้างพุทธสถานขึ้น 3 หลัง เพื่อบูชาพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร
142
(ปัทมปาณี) และพระโพธิสัตว์วัชรปาณี อันแสดงให้เห็นว่าพุทธศาสนาที่
ศรีวิชัยในขณะนั้นเป็นนิกายวัชรยาน
จารึกแผ่นบัตรทองแดงจากนาลันทาในประเทศอินเดียยังได้
กล่าวถึงมหาราชแห่งสุวรรณทวีป (คือ เกาะทองค าซึ่งเป็นชื่อที่อินเดียใช้
เรียกเกาะสุมาตราและคาบสมุทรมลายู) ซึ่งน่าจะเป็นพระเจ้าพาลบุตร
ทรงสร้างส านักสงฆ์ขึ้นที่มหาวิทยาลัยนาลันทา และเมื่อ พ.ศ. 1405 พระเจ้า
เทวปาละแห่งราชวงศ์ปาละได้ทรงอุทิศหมู่บ้านหลายแห่งถวายส านักสงฆ์
143
แห่งนี้ ดังนั้นราชวงศ์ไศเลนทร์แห่งศรีวิชัยกับราชวงศ์ปาละทาง
ตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียจึงมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน
ดูเหมือนว่าความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจของศรีวิชัยนั้นปรากฏ
อย่างเด่นชัดนับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 14 ต่อเนื่องมาในช่วงพุทธศตวรรษที่
15 อันเป็นห้วงเวลาที่พ่อค้าชาวอาหรับมุสลิมได้เข้ามามีบทบาทในการ
เดินเรือสินค้าในน่านน ้าแถบนี้ ดังจะเห็นได้อย่างชัดเจนจากการค้นพบสินค้า
จากแหล่งเรือจมที่เกาะเบลีตุง รวมถึงการค้นพบเครื่องถ้วยจีนสมัยราชวงศ์
165