Page 38 - อัยการนิเทศ (หนังสือราชการของสำนักงานอัยการสูงสุด) เล่มที่ 86 พ.ศ. 2564
P. 38
ข้อเท็จจริงได้ความว่า ก่อนเกิดเหตุคดีนี้ ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดในพื้นที่
ตำบลแคมป์สน อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ เนื้อที่ประมาณ ๑๒ ไร่เศษได้ให้ผู้ต้องหาเช่าที่ดิน
จำนวน ๓ ไร่ โดยแบ่งทำสัญญาเช่ากันเองเป็น ๔ ฉบับ มีกำหนดระยะเวลาเช่าฉบับละ ๓ ปี
เมื่อไม่มีการจดทะเบียนการเช่าต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงมีผลบังคับใช้ได้เพียง ๓ ปี ตามสัญญาฉบับแรก
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๓๘ โดยข้อความในย่อหน้าที่สามของสัญญาเช่า
ระบุว่าทั้งสองฝ่ายตกลงเช่าที่ดินแปลงเกิดเหตุ เนื้อที่ ๓ ไร่ จากจำนวนทั้งหมด ๑๒ ไร่เศษ และใน
ข้อ (๖) ระบุว่า ผู้ให้เช่ายินยอมให้ผู้เช่าก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ให้เช่าเป็นจำนวน ๓ ไร่ แสดงชัดแจ้ง
ถึงเจตนาของคู่กรณีที่ตกลงให้ใช้พื้นที่ที่เช่าเพียง ๓ ไร่ ตามที่ตกลงกันเท่านั้น เมื่อนาย ร. ผู้สำรวจ
พื้นที่เกิดเหตุเพื่อจัดทำแผนที่แสดงขอบเขตที่จะก่อสร้างร้านอาหารและร้านกาแฟ โดยมีผู้กล่าวหา
และผู้ต้องหาร่วมกันชี้แนวมีการกำหนดใช้ต้นไม้ แนวเนินดิน เป็นเครื่องหมายทางธรรมชาติ
ใช้กล้องสำรวจระบุพิกัด ระยะและขนาด ตามมาตรฐานการออกแบบการใช้พื้นที่ มาใช้ในโปรแกรม
(AUTO CAD) ซึ่งสามารถระบุขอบเขตพื้นที่เพื่อใช้อ้างอิงในการออกแบบอาคารให้ตรงกับ
เทศบัญญัติและข้อกำหนดในการขออนุญาตก่อสร้างตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องว่ามีพื้นที่ก่อสร้าง
ประมาณ ๒-๒-๐ ไร่ และใช้ต้นยูคาลิปตัส ๔ ต้น เป็นเครื่องหมายทางธรรมชาติที่กำหนดขอบเขต
การใช้ประโยชน์ในที่ดินซึ่งนาย ร. ได้รับแจ้งจากผู้กล่าวหาว่าไม่ให้ตัดต้นไม้ทุกต้นในที่ให้เช่าออก
โดยเด็ดขาด ให้ตัดแต่งหรือปลูกเพิ่มได้ ต่อมาผู้กล่าวหาได้รับแจ้งจากผู้ดูแลพื้นที่ว่าผู้ต้องหาใช้พื้นที่
นอกบริเวณที่ตกลงให้เช่า จึงได้ให้เจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินทำการรังวัดตรวจสอบ ผลปรากฏว่า
ผู้ต้องหาปลูกสร้างอาคารและที่จอดรถในเนื้อที่ ๓-๓-๖๙ ไร่ เกินกว่าพื้นที่ตกลงให้เช่า ๐-๓-๖๙ ไร่
แล้วต่อมายังขุดเจาะบ่อน้ำบาดาล วางท่อน้ำ ท่อระบายน้ำทิ้งสิ่งปฏิกูล และขุดดิน ฝังสาย
ไฟฟ้าใต้ดิน ลงในที่ดินเพิ่มเติมอีก ๐-๓-๖๑ ไร่ รวมใช้พื้นที่เกินจากสัญญาเช่า ๑-๓-๓๐ ไร่
โดยผู้กล่าวหาไม่ยินยอม แต่ผู้ต้องหากล่าวอ้างหนังสือยินยอมให้ก่อสร้างอาคารในที่ดินเต็มโฉนด
ที่ดินเป็นหลักฐานในการใช้ที่ดินของผู้กล่าวหาเกินกว่าที่ตกลงเช่า ซึ่งนาย ศ. นายกเทศมนตรี
เทศบาลตำบลแคมป์สน ผู้รับผิดชอบในการออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคารในพื้นที่เกิดเหตุ
ให้การยืนยันในชั้นสอบสวนเพิ่มเติมว่า เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารประกอบการขออนุญาตก่อสร้าง
อาคารของผู้ต้องหาบนที่ดินของผู้กล่าวหา โดยจัดทำขึ้นต่อหน้านาย ส. ผู้อำนวยการกองช่าง
ของเทศบาล โดยขณะยื่นยังไม่มีการกรอกข้อความใด ๆ ผู้ต้องหามีพฤติการณ์ลักลอบนำเอกสาร
ส่วนตัวของผู้กล่าวหาไปรับรองสำเนายื่นประกอบการขออนุญาตต่อเติมอาคารต่อเทศบาลตำบล
โดยผู้กล่าวหาไม่ยินยอม เอกสารประกอบการขออนุญาตดังกล่าวจึงไม่ถูกต้องตามพระราชบัญญัติ
ควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๕๒ กฎกระทรวงฉบับที่ ๑๐ พ.ศ. ๒๕๒๘ ข้อ ๑ (๑) จึงไม่พิจารณาออก
ใบอนุญาตก่อสร้างอาคารหลังที่ ๒ ให้แก่ผู้ต้องหา นอกจากนี้ ยังปรากฏข้อเท็จจริงจากการ
ตรวจสอบอาคารของนายตรวจประจำกองช่างของเทศบาลว่ามีการก่อสร้างเพิ่มเติมโดยดัดแปลง
อาคารแรกผิดไปจากแปลนที่อนุญาต ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวเหล่านี้ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติ
มิชอบภาค ๖ ได้ไต่สวนพยานหลักฐานในคดีที่ผู้ต้องหาฟ้องนาย ศ. นายกเทศบาลตำบลแคมป์สนว่า
กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ในการมีหนังสือแจ้งให้ผู้ต้องหานำสำเนาบัตรประจำตัว
ประชาชน สำเนาทะเบียนบ้านและหนังสือยินยอมให้ก่อสร้างอาคารในที่ดินที่เป็นปัจจุบันของ
ผู้กล่าวหาเจ้าของที่ดินมาประกอบคำขออนุญาตต่อเติมอาคารใหม่ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าผู้ต้องหากับ
2 คำชี้ขาดความเห็นแย้ง