Page 53 - อัยการนิเทศ (หนังสือราชการของสำนักงานอัยการสูงสุด) เล่มที่ 86 พ.ศ. 2564
P. 53

หมายเหตุ

                
    คำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้ดูเสมือนว่าจะขัดกับหลักการเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมาย
                วิธีพิจารณาความอาญา เนื่องจากหลักการเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
                ต้องเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย นั่นคือต้องไม่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิด ไม่มีส่วนร่วมในการ

                ก่อให้เกิดการกระทำความผิด และไม่ยินยอมให้มีการกระทำความผิดต่อตน ซึ่งข้อเท็จจริงตามฎีกา
                ฉบับนี้ผู้เสียหายได้มอบเงินจำนวน  ๕๕๐,๐๐๐ บาท ให้แก่จำเลยเพื่อขอให้ช่วยฝากเข้างาน

                รับราชการจึงดูเสมือนว่าผู้เสียหายมีเจตนาที่ผิดกฎหมายโดยการเข้ารับราชการโดยวิธีการติดสินบน
                แก่จำเลย
                

   อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับเต็มจะพบว่า คดีนี้ก่อนสืบพยานโจทก์

                จำเลยได้ขอถอนคำให้การที่ปฏิเสธและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ คดีจึงไม่มีการสืบพยาน ข้อเท็จจริง
                ที่ศาลฎีการับฟังในคดีนี้จึงมีเพียงข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์ที่ฟ้องว่า “เมื่อระหว่าง

                ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ เวลากลางวันถึงวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๙ เวลากลางวัน ต่อเนื่องกัน
                ตลอดมา จำเลยกับนาง จ. ซึ่งผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ไปแล้ว ร่วมกันหลอกลวงนางสาว ศ. ผู้เสียหาย
                ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ผู้เสียหาย โดยจำเลย

                กับพวกกล่าวอ้างว่าสามารถช่วยเหลือฝากผู้เสียหายเข้าทำงานรับราชการในองค์กรบริหารส่วนตำบล
                หรือเทศบาลในเขตจังหวัดบุรีรัมย์ได้ หากจะเข้ารับราชการในระดับ ซี ๑ ผู้เสียหายต้องเสีย

                ค่าดำเนินการให้แก่จำเลย ๕๐๐,๐๐๐ บาท หากจะเข้ารับราชการในระดับ ซี ๒ ผู้เสียหายต้องเสีย
                ค่าดำเนินการให้แก่จำเลยกับพวก ๖๕๐,๐๐๐ บาท โดยผู้เสียหายจะต้องเข้าสอบตามปกติอันเป็น
                ความเท็จ ความจริงแล้วจำเลยกับพวกไม่สามารถช่วยเหลือฝากผู้เสียหายเข้าทำงานรับราชการใน

                องค์การบริหารดังกล่าวได้ตามที่กล่าวอ้าง โดยการหลอกลวงของจำเลยกับพวกเป็นเหตุให้ผู้เสียหาย
                หลงเชื่อว่าเป็นความจริงจึงมอบเงิน ๕๕๐,๐๐๐ บาท ให้จำเลยไปดำเนินการตามที่จำเลยกับพวก

                กล่าวอ้าง ทำให้จำเลยกับพวกได้ไปซึ่งทรัพย์สินเป็นเงิน ๕๕๐,๐๐๐ บาท จากผู้เสียหาย...”
                     เห็นได้ว่า เมื่อข้อเท็จจริงมีเพียงตามคำฟ้องของโจทก์ซึ่งไม่ปรากฏรายละเอียดให้รับฟังได้
                อย่างชัดเจนว่าผู้เสียหายทราบว่าจำเลยจะนำเงินดังกล่าวไปใช้โดยวิธีทุจริตหรือไม่ชอบด้วย

                กฎหมายอย่างไร เนื่องจากจำเลยรับสารภาพและคดีไม่มีการสืบพยาน ศาลฎีกาจึงน่าจะเห็นว่า
                ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำฟ้องยังฟังไม่ได้ว่าการที่ผู้เสียหายมอบเงินให้แก่จำเลยดังกล่าว

                เป็นกรณีที่ผู้เสียหายมีเจตนามิชอบด้วยกฎหมายหรือมีเจตนาร่วมกระทำผิดกับจำเลยในการนำเงิน
                ไปให้แก่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องซึ่งมีอำนาจในการบรรจุแต่งตั้งผู้เสียหายเข้ารับราชการ โดยตามเนื้อหา
                ของคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้ก็ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีหน้าที่

                ในการคัดเลือกหรือบรรจุบุคคลเข้ารับราชการในองค์การบริหารส่วนตำบลหรือเทศบาลใน
                เขตจังหวัดบุรีรัมย์ อีกทั้งข้อเท็จจริงที่ปรากฏก็ไม่อาจรับฟังได้ว่าผู้เสียหายมีเจตนาตั้งแต่แรกที่จะไป

                ติดต่อจำเลยเพื่อขอให้ช่วยฝากเข้าทำงานรับราชการ การที่ผู้เสียหายมอบเงินจำนวน ๕๕๐,๐๐๐ บาท



                                                             อัยการนิเทศ เล่มที่ ๘๖ พ.ศ. ๒๕๖๔  43
   48   49   50   51   52   53   54   55   56   57   58