Page 52 - อัยการนิเทศ (หนังสือราชการของสำนักงานอัยการสูงสุด) เล่มที่ 86 พ.ศ. 2564
P. 52
๒๖ เมษายน ๒๕๖๐ ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๑ ซึ่งในวันดังกล่าว
จำเลยผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์ร่วมบางส่วนยังคงค้าง ๑๗๖,๐๐๐ บาท
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๓๔๑ (เดิม) จำคุก ๑ ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ประกอบกับ
จำเลยชำระเงินให้โจทก์ร่วมมาบ้างแล้ว มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๗๘ คงจำคุก ๖ เดือน ให้จำเลยชำระเงิน ๑๗๖,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี
นับแต่วันพิพากษาเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่ง
ให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงว่า
โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกกล่าวอ้างว่าสามารถช่วยเหลือ
ฝากผู้เสียหายเข้าทำงานรับราชการในองค์การบริหารส่วนตำบลหรือเทศบาลในเขตจังหวัดบุรีรัมย์
ได้อันเป็นความเท็จ ความจริงแล้วจำเลยกับพวกไม่สามารถช่วยเหลือฝ่ายผู้เสียหายเข้าทำงาน
รับราชการในองค์การบริหารส่วนตำบลหรือเทศบาลในเขตจังหวัดบุรีรัมย์ตามที่กล่าวอ้างได้
โดยการหลอกลวงของจำเลยกับพวกเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อว่าเป็นความจริงจึงมอบเงิน
๕๕๐,๐๐๐ บาท ให้จำเลยไปดำเนินการตามที่จำเลยกับพวกกล่าวอ้าง ซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพ
และคู่ความทั้งสองฝ่ายแถลงไม่ติดใจสืบพยาน ข้อเท็จจริงจึงรับฟังเป็นยุติตามคำรับสารภาพ
ของจำเลย กรณีฟังได้ว่าโจทก์ร่วมได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ จึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องคดี
ในข้อหานี้ได้ เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีหน้าที่ในการคัดเลือกหรือบรรจุบุคคล
เข้ารับราชการในองค์การบริหารส่วนตำบลหรือเทศบาลในเขตจังหวัดบุรีรัมย์ อีกทั้งข้อเท็จจริง
ที่ปรากฏก็ไม่อาจรับฟังได้ว่าโจทก์ร่วมมีเจตนาตั้งแต่แรกที่จะไปติดต่อจำเลยเพื่อขอให้ช่วยฝากเข้า
ทำงานรับราชการ ดังนั้น การที่โจทก์ร่วมมอบเงินจำนวน ๕๕๐,๐๐๐ บาท ล้วนเกิดขึ้นเพราะถูก
จำเลยหลอกลวง ถือไม่ได้ว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้ก่อให้จำเลยกระทำความผิด โจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหาย
โดยนิตินัยมีสิทธิร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยในความผิดฐานฉ้อโกงได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๓
พิพากษายกฟ้องโจทก์เพราะไม่มีอำนาจฟ้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
โดยศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลชั้นต้นในเรื่องการปรับบทและกำหนดโทษจำเลย สำหรับคดีส่วนแพ่ง
ต้องบังคับตามคำพิพากษาตามยอม
พิพากษากลับ ให้บังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่ง
ชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ.
สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายสารสนเทศ
สำนักงานวิชาการ
42 คำพิพากษาศาลฎีกา