Page 96 - อัยการนิเทศ (หนังสือราชการของสำนักงานอัยการสูงสุด) เล่มที่ 86 พ.ศ. 2564
P. 96

สมุดเงินฝากธนาคาร ๕ เล่ม เป็นของกลาง โพยบัญชีรายชื่อลูกค้าเจ้าพนักงานเก็บรักษาไว้
          ส่วนสมุดเงินฝากธนาคาร โจทก์แจ้งให้พนักงานสอบสวนจัดการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
          ความอาญา มาตรา ๘๕ แล้ว ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา

          พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๔ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓, ๘๓, ๙๑ ริบโพยบัญชีรายชื่อลูกค้า
          ของกลาง
                จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ข้อ ๑.๑ แต่ให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ข้อ ๑.๒
          ถึงข้อ ๑.๑๖
                ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติห้ามเรียก
          ดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๓ (ก) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ จำคุก
          คนละ ๑ ปี  ทางพิจารณาของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษ
          ให้คนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำคุกคนละ ๘ เดือน ริบโพยบัญชี
          รายชื่อลูกค้าของกลาง

                โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
                ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติ
          ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๓ (ก) และพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกิน
          อัตรา พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๔ (๑) แต่ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ย
          เกินอัตรา พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๓ (ก) สำหรับการกระทำความผิดตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙
          ถึงวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๐ และให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ย
          เกินอัตรา พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๔ (๑) สำหรับการกระทำความผิดตั้งแต่วันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๐

          ถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐ การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
          ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ จำคุกจำเลยทั้งสอง
          กระทงละ ๓ เดือน รวม ๑๖ กระทง รวมจำคุกคนละ ๔๘ เดือน เมื่อลดโทษให้คนละหนึ่งในสาม
          ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ แล้ว คงจำคุกคนละ ๓๒ เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไป
          ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
                จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้
          ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
                ฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อเท็จจริงนั้นฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า การที่
          ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา

          พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๓ (ก) โดยที่โจทก์ไม่ได้อ้างมาในคำฟ้อง เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้
          กล่าวในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๒ วรรคหนึ่ง นั้น เห็นว่า
          พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๓ (ก) และพระราชบัญญัติห้าม
          เรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๔ (๑) บัญญัติให้การให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินโดยคิด
          ดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดยังคงเป็นความผิด เพียงแต่พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอก
          เบี้ยเกินอัตราฉบับใหม่แก้ไขบทกำหนดโทษให้สูงขึ้นเท่านั้น ดังนั้น การกระทำของจำเลยทั้งสอง
          ยังคงเป็นความผิดตามบทบัญญัติของกฎหมายเดิม เพียงแต่กฎหมายใหม่มีระวางโทษหนักกว่า






              86    คำพิพากษาศาลฎีกา
   91   92   93   94   95   96   97   98   99   100   101