Page 101 - อัยการนิเทศ (หนังสือราชการของสำนักงานอัยการสูงสุด) เล่มที่ 86 พ.ศ. 2564
P. 101
จะต้องรับโทษหนักขึ้นจากข้อเท็จจริงใด ผู้กระทำผิดจะต้องรู้ข้อเท็จจริงนั้นด้วย ซึ่งหลักทั่วไป
ในเรื่องนี้ก็ใช้บังคับกับผู้สนับสนุนการกระทำความผิดเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ผู้สนับสนุนใน
กระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ไม่ทราบว่าผู้ลงมือปล้นมีอาวุธติดตัวไปด้วย ผู้สนับสนุนย่อมไม่ผิด
มาตรา ๓๔๐ วรรคสอง, ๘๖ คงมีความผิดแค่มาตรา ๓๔๐ วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา ๘๖ ๓
ในส่วนของการกระทำในลักษณะการเปิดบัญชีธนาคารแล้วยอมให้ผู้กระทำความผิดนำบัญชี
ธนาคารของตนไปใช้รับโอนเงินที่ได้จากการกระทำความผิดนั้น ตามคำพิพากษาศาลฎีกา
ที่หมายเหตุนี้มีพยานหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาสนับสนุนการกระทำความผิด
คือ จำเลยเป็นเจ้าของบัญชีธนาคารที่ผู้เสียหายโอนเงินเข้าบัญชีและมีผู้เบิกถอนเงินดังกล่าวไป
และจำเลยอ้างตนเองเป็นพยานว่า ได้รับจ้างเปิดบัญชีจากนางสาว ช. เพื่อแลกกับผลตอบแทน
รูปแบบหนึ่ง จากพยานหลักฐานในคดีนี้ เป็นกรณีของการที่จำเลยมีเจตนาสนับสนุนการกระทำ
ความผิดโดยเล็งเห็นผล กล่าวคือ จำเลยย่อมตั้งข้อสงสัยแต่แรกว่าเพราะเหตุใดนางสาว ช.
จึงไม่เปิดบัญชีเงินฝากด้วยตนเอง บัญชีเงินฝากดังกล่าวอาจถูกนำไปใช้ในเรื่องที่ผิดกฎหมาย
โดยนำเงินผ่านบัญชีเงินฝากของตนเพื่อให้ตามจับตัวคนร้ายและที่มาของเงินได้ยากขึ้น อันเป็นการ
ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด ทั้งนี้
ก่อนหน้าคำพิพากษาฎีกานี้ก็เคยมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๕๖๓๐/๒๕๕๓ ได้วางหลักในเรื่อง
การรับจ้างเปิดบัญชีธนาคารในแนวทางเดียวกันกับคำพิพากษาฎีกาที่หมายเหตุนี้ ๔
อย่างไรก็ตาม มีข้อน่าสังเกตว่า กรณีการรับจ้างเปิดบัญชีธนาคาร โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่น
เพิ่มเติมว่าผู้เปิดบัญชีธนาคารรู้ว่าจะมีการนำบัญชีธนาคารไปใช้ในการกระทำความผิดนอกเหนือ
จากการได้รับเงินตอบแทนในการเปิดบัญชีธนาคารนั้น แนวคำพิพากษาศาลฎีกาตามแนวนี้ล้วน
เป็นการสนับสนุนการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ทั้งสิ้น ทั้งนี้ การที่บุคคลได้รับเงินค่าตอบแทน
จำนวนหนึ่งเพื่อแลกกับการเปิดบัญชีธนาคารให้บุคคลอื่น ผู้เปิดบัญชีย่อมเล็งเห็นได้เพียงว่าบุคคล
ที่เขาเปิดบัญชีให้จะนำบัญชีไปใช้ในเรื่องที่ผิดกฎหมาย โดยนำเงินผ่านบัญชีเงินฝากของตนอันน่าจะ
๓
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๒๘๕/๒๕๔๒ จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์กระบะพาจำเลยที่ ๒ ผ่านหน้าบ้านผู้เสียหายไปประมาณ ๓๐๐ เมตร
แล้วจอดรถให้จำเลยที่ ๒ กับพวกลงจากรถเดินย้อนกลับไปปล้นทรัพย์ที่บ้านผู้เสียหายส่วนจำเลยที่ ๑ ขับรถอ้อมไปอีกทาง
ไปจอดรถรอรับจำเลยที่ ๒ กับพวกห่างบ้านผู้เสียหายประมาณ ๑ กิโลเมตร หลังจากจำเลยที่ ๒ กับพวกปล้นทรัพย์ผู้เสียหายแล้ว
ได้มาขึ้นรถจำเลยที่ ๑ ตามที่นัดแนะกันไว้ จากนั้นจำเลยที่ ๑ ขับรถพาจำเลยที่ ๒ กับพวกหลบหนีไป แต่ขณะจำเลยที่ ๒ กับพวก
ทำการปล้นทรัพย์อยู่ที่บ้านผู้เสียหาย จำเลยที่ ๑ อยู่ระหว่างขับรถอ้อมมาและจอดรถห่างบ้านผู้เสียหายทั้งสองประมาณ
๑ กิโลเมตร จำเลยที่ ๑ ไม่ได้อยู่ในวิสัยที่จะช่วยเหลือจำเลยที่ ๒ กับพวก ได้จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นตัวการร่วมกับ
จำเลยที่ ๒ กับพวกปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นเพียงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ ๒ กับ
พวกในการปล้นทรัพย์ผู้เสียหายก่อนกระทำความผิดจำเลยที่ ๑ จึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดดังกล่าว
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๖ เท่านั้น และเมื่อจำเลยที่ ๑ ไม่ทราบว่าจำเลยที่ ๒ กับพวกมีอาวุธติดตัวไปด้วย
จึงไม่อาจปรับบทลงโทษจำเลยที่ ๑ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรคสองได้ จำเลยที่ ๑ คงมีความผิดตาม
มาตรา ๓๔๐ วรรคหนึ่ง
๔
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๕๖๓๐/๒๕๕๓ จำเลยมิได้ร่วมกับคนร้ายในการลักบัตรเอทีเอ็มของผู้เสียหาย การใช้บัตรเอทีเอ็ม
ของผู้เสียหายทำรายการเพื่อโอนเงินคงเป็นเรื่องของคนร้ายซึ่งทราบรหัสบัตรเอทีเอ็มของผู้เสียหายมิใช่จำเลยเป็นผู้กระทำ
ไม่พอฟังว่าเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำ แต่การที่จำเลยยอมให้คนร้ายโอนเงินจากบัญชีผู้เสียหายเข้าบัญชีของจำเลยและยอมให้
คนร้ายใช้บัตรเอทีเอ็มของจำเลยเพื่อให้การลักทรัพย์เป็นผลสำเร็จดังกล่าว ถือเป็นเพียงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่
ผู้อื่นกระทำความผิด จำเลยจึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๖
อัยการนิเทศ เล่มที่ ๘๖ พ.ศ. ๒๕๖๔ 91