Page 31 - รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ เรื่องปราสาทเขมรสมัยบาปวน
P. 31

ปNกหลักเขต ใน พ.ศ. 1555 กัมสเตงอัญลักษมิปติวรมัน ได8ซื้อที่ดิน มัตจังวา จาก วาปชูประลาย

                    ซึ่งเปWนทรัพย^มรดก โดยซื้อด8วยขันเงิน 4 ใบ หนัก 2 ชั่ง แหวน 4 วง หนัก 4 ตำลึง ถ8วย 1 ใบ

                    กระโถน 1 ใบ ผ8า 10 ผืน มีการปNกหลักเขตตามทิศต$าง ๆ แต$ใน พ.ศ. 1556 กัมสเตงมลวย มีปNญหา
                    โกรธเคืองกับ กัมสเตงอัญลักษมิปติวรมัน โดยประกาศว$าตนเปWนหัวหน8าดูแลที่ดินและสั่งให8คนไป

                    เกี่ยวข8าวในนานั้น กัมสเตงอัญลักษมิปติวรมัน จึงร8องเรียนไปยังพระเจ8าสูรยวรมันที่ 1 ซึ่งรับสั่งให8

                    ตุลาการตัดสินคดีความ กัมสเตงมลวย มอบหมายให8 วาปชู ซึ่งครอบครองที่ดินนั้นออกหน8าในการว$า
                    ความแต$ก็แพ8คดี พระสภาจึงลงโทษ แต$ วาปชู ร8องขอชีวิตโดยถวายทรัพย^สินทั้งหมดและมอบสิทธิ์

                    ในที่ดินนั้นแก$ กัมสเตงอัญลักษมิปติวรมัน จนกระทั่งใน พ.ศ. 1557 มรตาญขโลญศรีวิเรนทรวัลลภะ
                    ก็ได8ถวายที่ดินแด$พระกัมรเตงอัญศิวลึงค^ที่มัธยเทศ และมอบสมบัติต$าง ๆ รวมทั้งข8าทาสชายหญิงไว8

                    รับใช8ด8วย (กังวล คัชชิมา, 2557: 90 - 91)

                           กังวล คัชชิมา ตั้งข8อสังเกตไว8ว$า จารึกโอเสม็ดชี้ให8เห็นถึงการดูแลทรัพย^สมบัติและ
                    ผลประโยชน^ของที่ดินที่เปWนของศาสนสถาน ตระกูลที่ดูแลจะได8รับผลประโยชน^มหาศาลทั้งใน

                    ปNจจุบันและอนาคต ทั้งญาติและผู8สืบทอดหรือลูกหลานมีสิทธิ์เต็มที่ในการจัดการทรัพย^สินที่เกิดจาก
                    ที่ดินของศาสนสถาน (กังวล คัชชิมา, 2557: 92) ด8วยเหตุนี้ในสังคมเขมรโบราณที่ดินจึงมีคุณค$ายิ่ง

                    เพราะแสดงถึงความมั่งคั่งและอำนาจ เจ8าของที่ดินสามารถควบคุมทั้งผลผลิตทางการเกษตรและ

                    กำลังคนในที่ดินนั้น ๆ (Ricklefs, 1967: 412) และมีข8อสังเกตว$านับตั้งแต$นับตั้งแต$สมัยพระเจ8า
                    ชัยวรมันที่ 5 จนถึงสมัยพระเจ8าสูรยวรมันที่ 1 นั้นมีจารึกของข8าราชการจำนวนมาก (มากที่สุดเมื่อ

                    เทียบกับสมัยอื่น ๆ) ที่กล$าวอ8างถึงการสร8างปราสาท การกำหนดเขตที่ดินและสิทธิประโยชน^ต$าง ๆ

                    ขณะที่ในสมัยก$อนหน8านี้จารึกจะเปWนขององค^กษัตริย^โดยตรงเสียมากกว$า (Vickery, 1985: 229,
                    233 ; Lustig, Evans and Richards, 2007: 18 - 19) (แผนภูมิที่ 1)

                           เคนเนท อาร^ ฮอลล^ (Kenneth R.Hall) นักประวัติศาสตร^ เสนอว$า รัชสมัยของพระเจ8า

                    สูรยวรมันที่ 1 เปWนช$วงแห$งการพัฒนาระบบทางเศรษฐกิจและการเมืองของเขมรให8รวมเปWนอันหนึ่ง
                    อันเดียวกัน โดย “เครือข$ายวัด” หรือปราสาทมีบทบาทสำคัญมากในการพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐ

                    ที่พึ่งพาการเกษตรกรรม (Agrarian state) วัดประจำตระกูลต8องแบ$งปNนผลผลิตทางการเกษตรที่ได8
                    ให8กับส$วนกลางซึ่งเท$ากับการแบ$งให8กับกษัตริย^ด8วย การขยายพื้นที่เกษตรกรรมไปยังเขตที่ดินใหม$ ๆ

                    และการสร8างอ$างเก็บน้ำเพื่อประโยชน^ในการเพาะปลูกข8าวจึงเปWนเปêาหมายสำคัญในแผนพัฒนา
                    ราชอาณาจักร เพราะวัดหรือปราสาทมีหน8าที่สำคัญ 3 ประการต$อระบบเศรษฐกิจและสังคมเขมร

                    โบราณ คือ 1) เปWนศูนย^กลางของการผลิตข8าว 2) เปWนคลังความรู8ของชุมชน และ 3) เปWนหน$วย

                    ควบคุมแรงงานเกษตรกรรม (Hall, 2011: 184 - 189) (แผนภูมิที่ 2)










                                                            24
   26   27   28   29   30   31   32   33   34   35   36