Page 75 - วิชาการพยาบาลสาธารณภัยเล่มที่ 2 : สถาบันการพยาบาลศรีสวรินทิรา สภากาชาดไทย
P. 75

การส่งต่อผู้ประสบภัย



                                                                              อ.ดร.ม.ล.อาบกนก  ทองแถม


               วัตถุประสงค์
                      เมื่อนักศึกษาเรียนเรื่องนี้จบแล้ว นักศึกษาสามารถ

                        1.  อธิบายกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการส่งต่อผู้ประสบภัยได้
                        2.  อธิบายหลักการตัดสินใจส่งต่อผู้ประสบภัยได้
                        3.  อธิบายขั้นตอนการส่งต่อผู้ประสบภัยได้



               1. ความเป็นมาของระบบการส่งต่อผู้ประสบภัย
                      ในเหตุการณ์สาธารณภัยมักจะมีผู้ประสบภัยที่ได้รับบาดเจ็บจ านวนมาก หลังจากที่มีการคัดแยก

               (Triage) และให้การรักษา ณ บริเวณเกิดเหตุ (Treatment) แล้ว จะมีผู้บาดเจ็บจ านวนหนึ่งที่จ าเป็นต้องได้รับ
               การส่งต่อ (Transfer) เพื่อไปรับการรักษาเฉพาะ (definitive treatment) ต่อเนื่องในโรงพยาบาล ซึ่งนับเป็น
               ส่วนส าคัญของการดูแลผู้ประสบภัยก่อนถึงโรงพยาบาล (Pre hospital care) ซึ่งจะมีผลต่อโอกาสในการรอด
               ชีวิตและน าไปสู่ความต่อเนื่องในการดูแลรักษาของผู้ประสบภัยที่ได้รับบาดเจ็บ

                      การส่งต่อผู้ประสบภัยเริ่มขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี พ.ศ. 2309-2385 จากการที่มีการ
               เคลื่อนย้ายทหารที่ได้รับบาดเจ็บออกจากสนามรบไปรับการรักษาในโรงพยาบาล ต่อมาในช่วง พ.ศ. 2408 มี
               การพัฒนาระบบการส่งต่อผู้ประสบภัย/ผู้บาดเจ็บ ไปโรงพยาบาลในเมืองใหญ่ของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้แก่

               New York และ Cleveland ขึ้น แต่เกิดประเด็นที่เป็นข้อถกเถียงขึ้นว่าท าไมจะต้องมีรถโรงพยาบาลออกไปรับ
               ผู้ประสบภัย/ผู้บาดเจ็บ ณ จุดเกิดเหตุ เพราะถึงอย่างไรผู้ประสบภัย/ผู้บาดเจ็บก็จะต้องถูกส่งต่อมารับการรักษา
               ที่โรงพยาบาลอยู่ดี โดยในปี พ.ศ.2518 Crampton และคณะได้ท าการศึกษาผลของการมีระบบรถโรงพยาบาล
               ออกรับผู้ประสบภัย/ผู้บาดเจ็บ ณ จุดเกิดเหตุก่อนน าส่งโรงพยาบาล พบว่าการประสบความส าเร็จของการกู้
               ชีวิตนอกโรงพยาบาลมีถึงร้อยละ 66 และสามารถลดอัตราการเสียชีวิตในผู้ประสบภัย/ผู้บาดเจ็บที่มีภาวะหัวใจ

               หยุดเต้นนอกโรงพยาบาลได้ถึงร้อยละ 26 ซึ่งผลการศึกษานี้น าไปสู่การพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉิน (EMS;
               Emergency Medical Service) ซึ่งให้การดูแลผู้ประสบภัย/ผู้บาดเจ็บ ณ จุดเกิดเหตุก่อนการส่งต่อมารับการ
               รักษาที่โรงพยาบาลที่สามารถลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ประสบภัย/ผู้บาดเจ็บลงได้ อย่างไรก็ตามระบบ

               การแพทย์ฉุกเฉินในแต่ละประเทศยังมีความแตกต่างกัน ในประเทศแถบยุโรปส่วนใหญ่ ระบบการแพทย์ฉุกเฉิน
               จะสั่งการโดยให้แพทย์ที่ออกไป ณ จุดเกิดเหตุ ท าให้ผู้ประสบภัย/ผู้บาดเจ็บได้รับการรักษา ณ จุดเกิดเหตุได้

               รวดเร็วมากขึ้น อย่างไรก็ตามมีบางรายงานการวิจัยระบุว่าการที่มีแพทย์ออกไป ณ จุดเกิดเหตุ ท าให้ระยะเวลา
               ในการดูแลผู้บาดเจ็บ ณ จุดเกิดเหตุนานขึ้น ท าให้ระยะเวลาก่อนน าผู้ประสบภัย/ผู้บาดเจ็บกลับเข้ามารักษาที่

               โรงพยาบาลนานขึ้น ส่งผลให้อัตราการเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น ส่วนในประเทศสหรัฐอเมริกา มีนักปฏิบัติการฉุกเฉิน
               การแพทย์ (paramedic) เป็นผู้ให้การรักษาภาวะฉุกเฉินเบื้องต้น และน าผู้ประสบภัย/ผู้บาดเจ็บกลับเข้ามา
               รักษาต่อที่โรงพยาบาล






                                                                                                       75
   70   71   72   73   74   75   76   77   78   79   80