Page 25 - วิศวกรรมสาร ปีที่ 76 ฉบับที่ 2 เมษายน - มิถุนายน 2566
P. 25
การน�าแบบจ�าลองสารสนเทศอาคารมาใช้ในโครงการโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทย (กรณีศึกษา: โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้ารางเดี่ยว)
ในขั้นตอนการออกแบบและก่อสร้างจะถูกแบ่งเป็น 2 ช่วง ได้แก่ การก่อสร้าง (Construction Reference Drawing, CRD) ซึ่งเป็น
(ก) ช่วงการออกแบบซึ่งประกอบด้วยการออกแบบเชิงแนวคิด แบบที่ได้รับการตรวจสอบจากทุกส่วนงานที่เกี่ยวข้องในทุกระบบ
(conceptual design), การออกแบบเบื้องต้น (preliminary ไม่ว่าจะเป็นส่วนงานโครงสร้าง, งานสถาปัตยกรรม, งานระบบ
design) การออกแบบรายละเอียด (detailed design) และ (ข) ช่วง ประกอบอาคาร และงานระบบประกอบการเดินรถไฟรางเดี่ยว
การก่อสร้างจะประกอบด้วยแบบเพื่อการก่อสร้าง (construction เพื่อลดข้อผิดพลาดและข้อขัดแย้งในงานก่อสร้างที่จะเกิดขึ้น
drawing) และแบบก่อสร้างจริง (as-built drawing) โดยการ เพื่อให้เห็นภาพรวม และตรวจสอบหาจุดขัดแย้งที่เกิดขึ้น โดย
ท�างานด้วย BIM จะมีการเพิ่มขั้นตอนที่ส�าคัญระหว่างช่วงการ ช่วงเวลาที่ควรจัดท�า CRD คือช่วงระหว่างการออกแบบรายละเอียด
ออกแบบไปยังช่วงก่อสร้าง คือ ขั้นตอนของการจัดท�าแบบอ้างอิง ก่อนการจัดท�าแบบเพื่อการก่อสร้าง
Structural Framing
LOD 100 LOD 200 LOD 300 LOD 400 LOD 500
- Representation - Definition of Profile - Specification of - Definition of all - Tracking Models
Concept Types and Materials Components with Manufacturing Details: according to Build
- Assumptions for - Identification of regard to Connections, Welds, Reinforcements, Condition
Structural Framing Restricted Areas for - Materials, and Coatings and Connections
Penetration
รูปที่ 2 ระดับความละเอียดของแบบจ�าลองงานโครงสร้าง
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอาคารในต่างประเทศเริ่มมีการ ส�าคัญ ซึ่งสามารถแบ่งรายละเอียดของ LOD แบ่งออกเป็น 5 ระดับ
พัฒนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 โดยมีการพัฒนามาตรฐานครั้งแรก ตั้งแต่ LOD100, LOD200, LOD300, LOD400 และLOD500
ในปี ค.ศ. 2007 ในประเทศสหรัฐอเมริกา ขณะที่ไทยเริ่มมีคู่มือการ ซึ่งความละเอียดเรียงจากน้อยไปมากตามล�าดับ [2] ตามตัวอย่าง
แนะแนวทางปฏิบัติครั้งแรกในปี ค.ศ. 2015 [2] แต่พบว่าการใช้งาน งานโครงสร้างในรูปที่ 2 ในกรณีศึกษานี้มีข้อจ�ากัดในการท�างาน
BIM จะอยู่ในกลุ่มงานอาคารเป็นหลัก [3] หรือมีการน�ามาใช้ใน หลายด้านด้วยกัน เช่น พื้นที่ท�างาน, การเวนคืนที่ดิน, ระยะเวลา
โครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศค่อนข้าง ในการก่อสร้างและการทดสอบระบบ เป็นต้น ประกอบกับลักษณะ
น้อย ท�าให้ยังไม่มีการก�าหนดรูปแบบและข้อก�าหนดการท�างานจาก โครงการเป็นโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ จึงท�าให้มีหน่วยงานที่
เจ้าของงานหรือผู้เกี่ยวข้องอย่างชัดเจน ระดับความละเอียดของ เกี่ยวข้องจ�านวนมากที่ต้องประสานงานและท�างานร่วมกัน จึงต้อง
แบบจ�าลองสารสนเทศอาคาร (Level of Development, LOD) น�า BIM มาใช้ในการจัดการในส่วนของการออกแบบและก่อสร้าง
เป็นตัวก�าหนดระดับของความละเอียดในการสร้างแบบจ�าลองที่ โดยข้อก�าหนดทั่วไปของ BIM ส�าหรับงานโครงสร้างพื้นฐาน
แบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ การก�าหนดการสร้างแบบจ�าลอง
(modeling requirement), การจ�าแนกประเภท (classification)
และการก�าหนดรูปแบบ (format) [4] ส่วนประกอบของข้อมูล
เหล่านี้ต้องถูกจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบและระบบ เพื่อใช้ข้อมูลใน
การท�างานของผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงใช้เป็นเอกสารอ้างอิงในการ
จัดซื้อจัดจ้าง โดยโครงสร้างพื้นฐานมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน
วิศวกรรมสาร 25
ปีที่ 76 ฉบับที่ 2 เมษายน - มิถุนายน 2566