Page 268 - ทวารวดี ประตูสู่การค้าบนเส้นทางสายไหมทางทะเล
P. 268
เมื่อ พ.ศ. 1548 พระเจ้าราชราชะโจฬะที่ 1 ทรงอุทิศรายได้ของหมู่บ้านแห่ง
หนึ่งส าหรับท านุบ ารุง “จุฑามณีวิหาร” ซึ่งสร้างขึ้นโดยกษัตริย์แห่ง
ราชวงศ์ไศเลนทร์นามว่า “ศรีมารวิชโยตุงคะวรมัน” โดยวิหารหลังนี้ตั้งอยู่ที่
38
เมืองท่าชายฝั่งทะเลที่ส าคัญคือ เมืองนาคปัฏฏินัม และเมื่อพระเจ้า
ราเชนทรโจฬะที่ 1 ขึ้นครองราชย์ก็ยังคงด าเนินนโยบายที่ดีกับศรีวิชัย
เฉกเช่นพระราชบิดา โดยใน พ.ศ. 1561 หรือ 1562 ศรีวิชัยยังได้ถวาย
ทองค าจีน (China gold / Cina-kanakam) จ านวนมากส าหรับเทวาลัยและ
39
พราหมณ์ที่เมืองนาคปัฏฏินัมด้วย
จนกระทั่งใน พ.ศ. 1566 เมื่อราชวงศ์ซ่งของจีนได้สนับสนุนให้
พ่อค้าชาวอาหรับเปลี่ยนเส้นทางการค้าจากเส้นทางสายไหมทางบกที่ผ่าน
ทะเลทรายอันแห้งแล้งและอันตรายในเอเชียกลางมาใช้เส้นทางสายไหมทาง
40
ทะเลที่สะดวกรวดเร็วกว่า คงส่งผลให้สมาคมพ่อค้าของอินเดียใต้ที่ได้รับ
41
การอุปถัมภ์จากราชวงศ์โจฬะได้รับประโยชน์จากนโยบายนี้ด้วย ดังจะเห็น
ได้จากบทบาทของสมาคมพ่อค้าอินเดียใต้ในนาม “มณิกกิรมัม” ซึ่งเข้ามาตั้ง
ถิ่นฐานในคาบสมุทรภาคใต้ของไทยบริเวณจังหวัดพังงา ตั้งแต่ราว
พุทธศตวรรษที่ 14–15 และสมาคมพ่อค้า “ไอนูรรวรร” ที่บริเวณเมือง
บารุสทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะสุมาตรา ในช่วงครึ่งแรกของ
พุทธศตวรรษที่ 17 (ดูในบทที่ 4)
หากย้อนกลับไปพิจารณาจารึกภาษาทมิฬพบที่จังหวัดพังงาที่มี
ข้อความว่า “สระชื่อศรีอวนินารณัม ซึ่ง…รวรรมันคุณ…ได้ขุดเองใกล้ (เมือง)
นงคูร อยู่ในการรักษาของสมาชิกแห่งมณิครามแลของกองทัพระวังหน้ากับ
ชาวไร่ชาวนา...” ก็จะสังเกตได้ว่าสมาคมพ่อค้านี้มีกองทัพระวังหน้า (หรือ
ทหารรับจ้าง) คอยคุ้มครองอยู่ด้วย อันเป็นเหตุผลด้านความมั่นคง
42
ปลอดภัย เพราะการเข้าไปตั้งสมาคมพ่อค้าที่เมืองบารุสก็เท่ากับแย่งชิง
พื้นที่ทางธุรกิจหรือควบคุมแหล่งผลิตการบูรชั้นดีซึ่งศรีวิชัยเคยครอบครอง
43
มาก่อนนั่นเอง
257