Page 75 - อัยการนิเทศ (หนังสือราชการของสำนักงานอัยการสูงสุด) เล่มที่ 86 พ.ศ. 2564
P. 75
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องและยกคำขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหายที่ ๒
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้เบื้องต้นว่า เมื่อวันที่
๒๔ กันยายน ๒๕๕๒ ผู้เสียหายที่ ๑ เช่าซื้อรถยนต์จากผู้เสียหายที่ ๒ ในราคา ๕๗๔,๗๖๖.๓๖ บาท
ชำระงวดแรก ๑๖๑,๓๖๕.๔๒ บาท คงเหลือเงินที่ต้องชำระรวมค่าธรรมเนียมเช่าซื้อ ๔๗๕,๔๕๘ บาท
ตกลงผ่อนชำระ ๖๐ เดือนๆ ละ ๘,๔๗๙ บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ผู้เสียหายที่ ๑ ผ่อนชำระมาบางส่วน
คงค้างชำระ ๑๑ เดือน ต่อมาผู้เสียหายที่ ๒ ฟ้องบังคับชำระหนี้ที่ศาลจังหวัดน่าน วันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๘
ผู้เสียหายที่ ๑ จึงไปกู้ยืมเงินกับคนร้าย ๗๐,๐๐๐ บาท โดยมอบรถที่เช่าซื้อพร้อมกุญแจและ
รีโมทคอนโทรลให้คนร้ายยึดถือไว้ วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๘ ผู้เสียหายที่ ๑ เดินทางไปเจรจากับ
ผู้เสียหายที่ ๒ ที่ศาลจังหวัดน่าน จนมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน หลังจากนั้น
ผู้เสียหายที่ ๑ พยายามติดตามรถคืนจากคนร้ายแต่ไม่สามารถติดตามรถคืนได้ วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๙
ผู้เสียหายที่ ๑ จึงร้องทุกข์ดำเนินคดีแก่คนร้าย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ผู้เสียหายที่ ๑
เป็นผู้เช่าซื้อรถย่อมมีสิทธิครอบครองและใช้ประโยชน์รถ ทั้งมีหน้าที่ต้องส่งมอบรถคืนให้แก่
ผู้เสียหายที่ ๒ หากมีกรณีต้องส่งมอบคืน การที่คนร้ายยักยอกรถไปย่อมทำให้ผู้เสียหายที่ ๑
ได้รับความเสียหาย แม้การนำรถไปให้คนร้ายยึดถือไว้ประกันการกู้ยืมเงินจะเป็นการผิดข้อตกลงกับ
ผู้เสียหายที่ ๒ แต่ก็ไม่ทำให้ผู้เสียหายที่ ๑ หลุดพ้นหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อรถที่มีต่อผู้เสียหายที่ ๒
แต่อย่างใด เมื่อพิจารณาจำนวนเงินที่ผู้เสียหายที่ ๑ กู้ไปจากคนร้ายเปรียบเทียบกับจำนวนเงิน
ที่ผู้เสียหายที่ ๑ ผ่อนชำระมาแล้ว ถือว่าจำนวนเงินที่กู้ยืมไม่มาก และการที่ผู้เสียหายที่ ๑
ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับผู้เสียหายที่ ๒ โดยประสงค์จะผ่อนชำระและครอบครอง
ใช้ประโยชน์รถต่อ ประกอบกับพฤติการณ์ที่ผู้เสียหายที่ ๑ กลับมาติดตามรถจากคนร้ายคืน
แสดงให้เห็นว่า ผู้เสียหายที่ ๑ ไม่ได้มีเจตนาเบียดบังรถไปเป็นของตนหรือคนร้ายโดยทุจริต
และไม่ได้ยินยอมหรือมีส่วนร่วมให้คนร้ายยักยอกรถไป ผู้เสียหายที่ ๑ จึงเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย
การร้องทุกข์และการสอบสวนชอบแล้ว พนักงานอัยการโจทก์มีอำนาจฟ้อง ตามประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๒๐ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
ปัญหาว่าจำเลยเป็นคนร้ายกระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยมา
เห็นควรวินิจฉัยไปในคราวเดียวกันโดยไม่ต้องย้อนสำนวน ได้ความจากคำเบิกความของ
ผู้เสียหายที่ ๑ ว่า วันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๘ พยานนำรถยนต์ที่เช่าซื้อไปวางเป็นประกันการกู้ยืมเงิน
ที่เต็นท์รถปากซอยสุขุมวิท ๖๒ เพราะต้องการเงินเดินทางไปเจรจากับผู้เสียหายที่ ๒ ที่ศาลจังหวัดน่าน
แต่พนักงานบอกไม่ผ่าน ต่อมาวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๘ เวลาประมาณ ๑๗ นาฬิกา พนักงาน
ของเต็นท์รถเป็นผู้หญิงโทรศัพท์มาหาพยานบอกว่า ให้พยานนำรถเข้ามาดูอีกครั้ง เมื่อพยานนำรถ
ไปถึงที่เต็นท์รถพบกับผู้หญิงชื่อเล่นว่า อิ๋ว ซึ่งก็คือจำเลยคดีนี้ โดยจำเลยและผู้ชายอีกคนช่วยกัน
ตรวจสภาพรถและตกลงให้พยานลงชื่อในสัญญากู้ไว้ ๗๐,๐๐๐ บาท แต่จำเลยมอบเงินให้พยาน
อัยการนิเทศ เล่มที่ ๘๖ พ.ศ. ๒๕๖๔ 65