Page 143 - อัยการนิเทศ (หนังสือราชการของสำนักงานอัยการสูงสุด) เล่มที่ 86 พ.ศ. 2564
P. 143

ทั้งบทความผิดและระวางโทษ) ในช่วงระหว่างวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๐ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐
                เมื่อได้มีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓๓/๒๕๖๐ กำหนดให้พระราชกำหนด
                การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๑๐๑, ๑๐๒, ๑๑๙, ๑๒๒

                มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป จึงเป็นการกระทำความผิดที่ไม่มีโทษที่จะลง
                แก่ผู้กระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒ วรรคแรก จึงเป็นกรณีมีกฎหมาย
                ยกเว้นโทษ ซึ่งมีผลให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
                มาตรา ๓๙ (๗) เข้าเงื่อนไขระงับคดีที่ต้องสั่งยุติการดำเนินคดี ตามระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๔๗ ข้อ ๕๔ (๗)
                (ปัจจุบันตรงกับระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๖๓ ข้อ ๔๘ (๘)) เช่นเดียวกันกับตามข้อ ๒
                       ซึ่งประเด็นพิจารณาทั้งกรณีตามข้อ ๒ และข้อ ๓ เป็นไปตามหนังสือสำนักงานอัยการ
                สูงสุด ที่ อส ๐๐๔๐ (อก)/ว ๓๖๗ ลงวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๐
                       ๔.  กรณีตามข้อ ๑ ถึงข้อ ๓ แม้พนักงานอัยการจะยังไม่ได้มีคำสั่งทางคดี และรอจนถึง
                วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๑ ไปแล้ว ผลการพิจารณาก็ไม่เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากผลทางกฎหมาย

                ที่เป็นเหตุให้เข้าเงื่อนไขระงับคดีได้เกิดขึ้นและปรากฏผลตามหลักการทางกฎหมายเช่นนั้นไปแล้ว ๘
                       (๒)  คำชี้ขาดความเห็นแย้ง สำนวนเลขรับที่ ชย.๙๓๖/๒๕๕๙
                       ภายหลังเกิดเหตุ ได้มีพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
                (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๘ บัญญัติให้ยกเลิกความในมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วย
                การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ และบัญญัติองค์ประกอบใหม่ของความผิด
                ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จว่า จะต้องเป็นการกระทำโดยทุจริต
                หรือโดยหลอกลวง และจะต้องมิใช่การกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมาย

                อาญาด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างจากกฎหมายที่ใช้ในภายหลัง
                จึงต้องใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดซึ่งก็คือบทบัญญัติกฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติม
                ใหม่มาปรับแก่คดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓ ดังนั้น การที่จะพิจารณาว่าการกระทำของ
                ผู้ต้องหาเป็นความผิดฐานดังกล่าวหรือไม่ จึงจำต้องวินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคดีว่าเข้าองค์ประกอบ
                ความผิดตามบทบัญญัติกฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติมใหม่หรือไม่ด้วย กรณีไม่ใช่เรื่องที่มีกฎหมายออกใช้
                ภายหลังการกระทำผิดยกเลิกความผิดเช่นนั้น ซึ่งจะทำให้สิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องผู้ต้องหา
                ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙ (๕) และเข้าเงื่อนไขระงับคดีตาม
                ระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๔๗
                ข้อ ๕๔ (๕) ที่กำหนดให้พนักงานอัยการต้องมีคำสั่งยุติการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาแต่อย่างใด

                สำหรับคดีนี้เมื่อพยานหลักฐานรับฟังได้ว่าการกระทำของผู้ต้องหาเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
                ผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖, ๓๒๘ ประกอบกับผู้ต้องหามิได้มี
                เจตนาโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ
                โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย การกระทำของผู้ต้องหาจึงขาดองค์ประกอบ
                ความผิดฐานดังกล่าว จึงสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์
                อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนตามพระราชบัญญัติว่าด้วย


                ๘  เป็นการจัดการความรู้โดยสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายชี้ขาดคดีอัยการสูงสุด ๓ เมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๑ และมีการลงพิมพ์
                 เผยแพร่ในอัยการนิเทศ เล่มที่ ๘๓ พุทธศักราช ๒๕๖๑ หน้า ๒๓ - ๒๖




                                                             อัยการนิเทศ เล่มที่ ๘๖ พ.ศ. ๒๕๖๔  133
   138   139   140   141   142   143   144   145   146   147   148