Page 144 - อัยการนิเทศ (หนังสือราชการของสำนักงานอัยการสูงสุด) เล่มที่ 86 พ.ศ. 2564
P. 144

การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๔ พระราชบัญญัติว่าด้วยการ
          กระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๘
          
     
 หมายเหตุเพื่ออธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำชี้ขาดความเห็นแย้ง สำนวนเลขรับที่ ชย.๙๓๖/๒๕๕๙

                  มีข้อพิจารณาเพิ่มเติมดังนี้
                  ๑.  ตามปัญหาในคดีนี้เป็นกรณีที่การกระทำนั้นครบองค์ประกอบความผิดตามกฎหมาย
          ซึ่งใช้ในขณะกระทำความผิด แต่ไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามกฎหมายที่ใช้ภายหลังการกระทำ
          ความผิด ซึ่งในเบื้องต้นน่าจะต้องถือว่า เป็นกรณีที่ตามบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง
          การกระทำเช่นนั้นไม่เป็นความผิดต่อไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒ วรรคสอง (เทียบเคียง
          ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๘/๒๕๑๐, ๘๖๑/๒๕๒๔, ๑๕๒๔๑/๒๕๕๗ เป็นต้น) แต่โดยที่กรณีนี้
          ไม่ใช่กรณีที่ตามบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังได้บัญญัติยกเลิกฐานความผิดเดิมไป
          ทั้งฐานความผิด แต่เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบความผิดนั้นใหม่ จึงจำเป็นที่จะต้องนำ
          ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓ ที่บัญญัติว่า ถ้ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับ

          กฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด ให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิด
          ไม่ว่าในทางใด นั้น มาพิจารณาก่อนเพื่อที่จะนำไปสู่การพิจารณาตามประมวลกฎหมายอาญา
          มาตรา ๒ วรรคสอง ต่อไป
                  ๒.  ดังนั้น  กรณีนี้จึงเป็นกรณีที่จำต้องพิจารณาในเนื้อหาแห่งคดีนั้นก่อนว่าเข้า
          องค์ประกอบความผิดตามบทบัญญัติของกฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติมใหม่ดังกล่าวหรือไม่ จึงไม่ใช่เรื่องที่
          มีกฎหมายออกใช้ภายหลังการกระทำผิดยกเลิกความผิดเช่นนั้นซึ่งจะทำให้สิทธิในการนำคดีอาญา
          มาฟ้องผู้ต้องหาระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙ (๕) และเข้าเงื่อนไข

          ระงับคดีตามระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๔๗ ข้อ ๕๔ (๕) (ปัจจุบันตรงกับระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๖๓ ข้อ ๔๘ (๖))
          ที่กำหนดให้พนักงานอัยการต้องมีคำสั่งยุติการดำเนินคดีกับผู้ต้องหานั้นแต่อย่างใด เพราะกรณีที่มี
          กฎหมายออกใช้ภายหลังการกระทำผิดยกเลิกความผิดตามความหมายของบทกฎหมายและ
          ระเบียบดังกล่าวมุ่งหมายถึงกรณีที่ตามบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังได้บัญญัติ
          ยกเลิกฐานความผิดเดิมไปทั้งฐานความผิดอันเป็นที่เห็นได้โดยชัดแจ้งว่าไม่มีกรณีที่จะต้องพิจารณาว่า
          เข้าองค์ประกอบความผิดหรือไม่นั้นต่อไปอีก ซึ่งสอดรับกันกับตามที่ระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๔๗ ข้อ ๕๔
          วรรคหนึ่ง (ปัจจุบันตรงกับระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๖๓ ข้อ ๔๘ วรรคหนึ่ง) กำหนดว่า “ในการพิจารณา
          สำนวนการสอบสวน ให้พนักงานอัยการพิจารณาเรื่องเงื่อนไขระงับคดีก่อน...” ดังนั้น กรณีที่จำต้อง
          พิจารณาในเนื้อหาแห่งคดีว่าเข้าองค์ประกอบความผิดตามบทบัญญัติของกฎหมายที่แก้ไขเพิ่มเติม

          ใหม่ดังกล่าวหรือไม่นั้นก่อน จึงเป็นเรื่องที่ต้องออกคำสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง ไม่ใช่สั่งยุติการดำเนินคดี ๙
                  โดยสรุป  เรื่องเงื่อนไขระงับคดีและการออกคำสั่งกรณีสิทธิฟ้องคดีอาญาระงับ มีพื้นฐาน
          ที่มาจากบทบัญญัติเรื่องสิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
          ความอาญา มาตรา ๓๙ ประกอบกับบทบัญญัติที่ตัดหรือจำกัดอำนาจฟ้องของพนักงานอัยการ ตาม
          มาตรา ๓๑, ๓๖ (๓), ๓๗, ๑๒๐, ๑๒๑ วรรคสอง, ๑๔๗ และมีการนำมากำหนดเป็นหลักเกณฑ์ใน
          ระเบียบฯ ซึ่งมีการพัฒนามาโดยลำดับ

          ๙  เป็นการจัดการความรู้โดยสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายชี้ขาดคดีอัยการสูงสุด ๓ เมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๑ และมีการลงพิมพ์
           เผยแพร่ในอัยการนิเทศ เล่มที่ ๘๔ พุทธศักราช ๒๕๖๒ หน้า ๑๗ - ๑๙



              134   บทความ
   139   140   141   142   143   144   145   146   147   148   149